Support
hiQprodetox
063-6242356
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2018-03-21 08:56:20.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  3 วิธีนวด แก้ท้องผูก

3 วิธีนวด #แก้ท้องผูก
 

1.นวดลำไส้เล็ก
2.นวดลำไส้ใหญ่
3.กดจุด สี่จุดของลำไส้ใหญ่

 

guest

Post : 2018-03-21 08:51:51.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  9 ผลไม้แก้ท้องผูก

9ผลไม้แก้ท้องผูก

 

ผลไม้ช่วยขับถ่าย ใครว่าปัญหาท้องผูกจัดการยาก ลองปราบด้วย 9 ผลไม้ช่วยขับถ่ายเหล่านี้สิ แล้วชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะ

อาการท้องผูกเป็นปัญหาที่ไม่เข้าใครออกใคร บางทีขับถ่ายคล่องกันอยู่ดี ๆ อีกไม่กี่วันต่อมาดันเกิดอาการท้องผูกซะได้ และจะว่าไปอาการท้องผูกนี่ก็ร้ายนะคะ เพราะทำร้ายสุขภาพสารพัด ทั้งทำให้รู้สึกอึดอัด หงุดหงิดง่าย อ่อนแรง ผิวหน้าหมองคล้ำ เสี่ยงริดสีดวงทวาร แถมตอนท้องผูก ท้องเราก็มักจะป่อง ดูเผิน ๆ เหมือนอ้วนขึ้น หรือถ้าหนักก็โดนทักว่าท้องไปอีก โอ๊ย…ไม่ไหวแล้ว อย่างงี้ต้องมาแก้ท้องผูกเติมไฟเบอร์ให้ร่างกายด้วยผลไม้ช่วยขับถ่าย 9 อย่างหาทานง่ายที่เราอยากแนะนำ คืนความเรียบแบนให้หน้าท้องกันโดยด่วน

 

1. กล้วยน้ำว้าสุก 

เพกตินในผลกล้วยน้ำว้าสุกคือสิ่งที่เราต้องการมาช่วยแก้ท้องผูก ซึ่งนอกจากเพกตินที่ว่าแล้ว กล้วยน้ำว้ายังเปี่ยมไปด้วยไฟเบอร์ และยังมีทีเด็ดที่เมือกลื่น ช่วยให้การขับถ่ายคล่องตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีวิตามินบี 1 บี 2 บี 6 และวิตามินซี ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน โดยกล้วยน้ำว้าสุก 1 ผลกลาง ให้พลังงานราว ๆ 60 กิโลแคลอรี


2. มะละกอ

อีกหนึ่งตัวช่วยแก้ท้องผูกที่คุณก็รู้จักกันดี แต่ก็อยากบอกให้รู้กันอีกนิดว่ามะละกอมีน้ำย่อยธรรมชาติที่สามารถกำจัดคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ร่างกายย่อยไม่หมดออกไป ช่วยกำจัดอุปสรรคที่ขัดขวางการขับถ่ายของลำไส้ รวมทั้งพาเอาปัญหาท้องผูกออกไปจากตัวเราด้วย ส่วนคุณผู้หญิงที่อยากมีผิวพรรณดี ช่วยชะลอวัย ก็ควรทานมะละกอ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงใช้ได้เลย ซึ่งมะละกอสุก 8 ชิ้นคำ จะให้พลังงานประมาณ 60 กิโลแคลอรีค่ะ


3. มะขาม

มะขาม 1 ฝักเล็ก ๆ ให้พลังงานเพียงแค่ 5-10 กิโลแคลอรีเท่านั้น แต่สำหรับคนที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายไม่ออกนานเป็นสัปดาห์ แนะนำให้แก้ท้องผูกด้วยมะขามเปียก 1 ก้อน แช่ในน้ำอุ่นประมาณ ​3 แก้ว แล้วใช้ช้อนบี้เพื่อให้ได้น้ำมะขามเปียกข้น ๆ แล้วก็ดื่มน้ำมะขามเปียกนั้นให้หมดแก้วก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง รับรองพรุ่งนี้เช้าได้ดีลกับชักโครกจนท้องโล่งแน่ ๆ


4. ลูกพรุน

ผลไม้ชนิดนี้ช่วยแก้ปัญหาท้องผูกหรือขับถ่ายลำบากได้ดีเลย เพราะลูกพรุน 1 ลูกก็มีปริมาณไฟเบอร์สูงถึง 1.4 กรัมเลยทีเดียว ยิ่งหากกินลูกพรุนแล้วดื่มน้ำวันละ 1.5-2 ลิตรไปด้วย ระบบขับถ่ายจะยิ่งคล่องตัวเป็นทวีคูณ นอกจากนี้ ลูกพรุนยังมีไขมันต่ำและแคลอรีน้อย คือ 1 ผลให้พลังงานราว ๆ 20-25 กิโลแคลอรีเท่านั้นเอง ทานเป็นประจำก็ช่วยลดน้ำหนักได้ด้วยนะคะ


5. แอปเปิลเขียว

ริ้วรอยใต้ตาหายเกลี้ยง! ใช้วิธีนี้! ดูเด็กลง 10 ปี ใน10 วัน!
ริ้วรอยใต้ตาหายเกลี้ยง! ใช้วิธีนี้! ดูเด็กลง 10 ปี ใน10 วัน!
เคล็็ดลับการฟอกสีฟันด้วยตัวเองที่บ้านถูกเปิดเผยแล้ว! ใช้สิ่งนี้ 1 ช้อน...
เคล็็ดลับการฟอกสีฟันด้วยตัวเองที่บ้านถูกเปิดเผยแล้ว! ใช้สิ่งนี้ 1 ช้อน...
วิธีรักษาเส้นเลือดขอดที่เห็นผลดีที่สุด!
วิธีรักษาเส้นเลือดขอดที่เห็นผลดีที่สุด!
พุงขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุด? ใช้วิธีนี้ รับรองพุงยุบได้ใน 3 วันเท่านั้น! เพียง
พุงขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุด? ใช้วิธีนี้ รับรองพุงยุบได้ใน 3 วันเท่านั้น! เพียง

ถ้าอยากกินแอปเปิลเขียวเพื่อช่วยแก้ท้องผูกอย่างได้ประสิทธิภาพเต็ม ๆ แนะนำให้กินแอปเปิลเขียวทั้งเปลือกนะคะ แล้วเราจะได้ไฟเบอร์ครบ 4.4 กรัม ต่อแอปเปิลเขียวขนาดกลาง 1 ผล พร้อมรับพลังงานไป 60-70 กิโลแคลอรี ซึ่งเจ้ากากใยในแอปเปิลเขียวนี่แหละ ตัวเด็ดของการแก้ท้องผูก


6. ส้ม

ใครรู้ตัวว่าท้องผูกเพราะเราเองที่ดื่มน้ำน้อย ลองแก้ปัญหานี้ด้วยการรับประทานส้มเขียวหวานก็ช่วยได้ เพราะส้มไม่ได้มีไฟเบอร์เยอะเท่านั้น แต่ปริมาณน้ำในส้มก็เยอะพอตัว จึงช่วยแก้ท้องผูกให้คนที่ถ่ายยากเพราะในลำไส้มีน้ำน้อยได้เป็นอย่างดี โดยส้ม 1 ผลกลางให้พลังงานประมาณ 50-60 กิโลแคลอรี แต่ทั้งนี้ก็ควรดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เยอะขึ้นเพื่อช่วยให้ถ่ายคล่องยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยนะ


7. มะม่วงสุก

การศึกษาในปี 2013 ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Gastroenterology พบว่า ไฟเบอร์ในมะม่วงสามารถปรับสภาพแวดล้อมในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น เมื่อรวมกับฤทธิ์ของวิตามินซีในส่วนของการช่วยระบาย ก็ยิ่งทำให้มะม่วงมีประโยชน์ต่อการทำงานของลำไส้ยิ่งขึ้น ลดอาการท้องผูก แถมยังเป็นผลไม้ที่มีไขมันอิ่มตัวน้อย คอเลสเตอรอลต่ำ โซเดียมต่ำ อีกทั้งยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนให้ง่ายต่อการดูดซึมของร่างกาย แต่เตือนไว้ก่อนว่า มะม่วงสุกให้พลังงานสูงพอสมควร คือมะม่วงสุกประมาณครึ่งลูก ให้พลังงาน 75 กิโลแคลอรี เพราะฉะนั้นถ้าเผลอทานมากก็คงสะเทือนแผนลดน้ำหนักแน่ ๆ


8. สับปะรด

อีกหนึ่งผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องช่วยย่อย สับปะรดเองก็มีน้ำย่อยจากธรรมชาติในตัวเองเหมือนมะละกอค่ะ ดังนั้นใครรู้สึกอาหารไม่ค่อยย่อย ถ่ายไม่ค่อยออก ลองกินสับปะรดเข้าไปช่วยแก้ปัญหานี้ดู ส่วนใยอาหารในสับปะรดก็ช่วยลดน้ำหนักได้ และยังทำให้รู้สึกอิ่มเร็วด้วย ทานสัก 8 ชิ้นคำ รับพลังงานไปราว ๆ 60 กิโลแคลอรี

9. แก้วมังกร

แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง ดังนั้นจึงสามารถช่วยกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานได้สะดวก ซึ่งจะช่วยแก้อาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เม็ดสีดำเล็ก ๆ คล้ายเม็ดแมงลักในเนื้อแก้วมังกร ยังมีกรดไขมันที่สามารถช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลหรือไขมันเลวออกจากร่างกายได้อีกด้วย ฉะนั้นแก้วมังกรจึงดีต่อคนที่อยากลดน้ำหนักไปพร้อมกัน อ้อ ! ลืมบอกอีกอย่างว่า แก้วมังกรเป็นผลไม้แคลอรีต่ำ 100 กรัม หรือราว ๆ 8 ชิ้นคำ จะให้พลังงานราว ๆ 60-70 กิโลแคลอรี

สะดวกจะหาผลไม้ช่วยขับถ่ายชนิดไหนมาช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่องตัวขึ้นก็เลือกกันตามสบายเลยนะคะ และอย่างที่บอกว่าเราเองก็ควรดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น และงดเครื่องดื่มที่อาจสร้างปัญหาท้องผูกอย่างชา กาแฟ ไปด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักโภชนาการ กรมอนามัย
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

guest

Post : 2017-09-21 15:19:20.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  น้ำมะละกอสุก กับสรรพคุณดีๆ

 ผลไม้หลายชนิด นอกจากจะมีประโยชน์มากมายแล้ว ยังเป็นเสมือนยารักษาโรคได้อีกด้วย โดยเฉพาะผลไม้ขึ้นชื่ออย่าง มะละกอ ที่เราต่างรู้กันดีว่ามันมีสรรพคุณ ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายของเราทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เรามักเห็นคนทานมะละกันเป็นชิ้นๆ แต่รู้ไหมว่า ผลของมัน สามารถนำไปทำเป็น น้ำมะละกอสุก เพื่อสุขภาพได้อีกด้วย

น้ำมะละกอสุก มีประโยชน์อย่างไร? 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะแค่น้ำมะละกอสุกเพียงอย่างเดียว ก็มีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยการทำงานของลำไส้ ทำความสะอาดไต ช่วยป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ และยังเป็นยาระบายอ่อนๆ กระตุ้นระบบขับถ่าย ทั้งนี้บ้านเรา สามารถปลูกมะละกอได้ตลอดทั้งปี เพราะฉะนั้นลองมาทำน้ำมะละกอสดทานกันดูไหม เรามีวิธีทำมาบอกด้วย

น้ำมะละกอสุก

วิธีทำ เลือกมะละกอที่สุกกำลังดี เนื้อไม่แข็ง หรือเละจนเกินไป เนื้อเนียน รสหวาน นำมะละกอสุกหั่นเอาแต่เนื้อครึ่งถ้วย น้ำเย็นจัด 1 ถ้วย ผงอบเชย 1/8 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำมะนาว 2 ช้อนชา ปั่นมะละกอกับน้ำเย็นจัด เกลือ น้ำมะนาวเข้าด้วยกัน รินใส่แก้ว โรยด้วยผงอบเชย ดื่มเย็นๆ ได้ทันที

เห็นไหมว่าน้ำผลไม้มีประโยชน์มากมาย ลองหันมาดื่มดูสิ รับรองว่าได้ทั้งรสชาติอร่อย แถมสุขภาพก็ดีอีกด้วย

ที่มา : www.thaihealth.or.th

guest

Post : 2017-09-21 15:14:05.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  6 วิธีแก้ โรคท้องผูก ทำอย่างไร คนวัยทำงานจึงจะกลับมาถ่ายได้ปกติอีกครั้ง!

 เคยได้ยินที่คนเคยบอกไหมว่า “คนที่สุขภาพดี คือคนที่ถ่ายทุกเช้า”  แต่ถ้าไม่ถ่ายเลยล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น อย่าคิดว่าปัญหาเรื่องการขับถ่ายนั้นเป็นเรื่องเล็กๆ นะคะ เพราะถ้าหากคุณไม่ถ่ายทุกวัน หรือไม่ถ่ายติดต่อกันเป็นเวลา 2-3 วัน นั่นก็เป็นสัญญาณเตือนที่อันตรายแล้วค่ะ เพราะมันกำลังจะบอกว่า การทำงานระบบขับถ่ายของคุณกำลังเกิดปัญหาแล้วล่ะ โดยเฉพาะคนวัยทำงาน ที่มักจะมีปัญหาเรื่องของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทานอาหาร หรือเครียดเรื่องต่างๆ ก็ตาม มากระทบต่อการทำงานของระบบขับถ่ายในร่างกาย จนก่อให้เกิด โรคท้องผูก ขึ้น วันนี้เราจะพามาหาคำตอบกันค่ะ ว่าทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้

สมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหารประเทศสหรัฐอเมริกา (American Gastroenterological Association, AGA) ได้ให้คำอธิบายว่า โรคท้องผูก เป็นโรคในระบบทางเดินอาหาร มักพบในผู้ไม่ขับถ่ายติดต่อกันนาน 3 วัน ร่วมกับมีอาการแน่นท้องอุจจาระแข็ง และต้องอาศัยแรงเบ่งมากเวลาขับถ่าย ส่วนการขับถ่ายที่เป็นปกติจะแตกต่างกันตามความสามารถในการเคลื่อนตัวของลำไส้ในแต่ละบุคคล โดยมากมักขับถ่ายตั้งแต่วันละ 3 ครั้งถึงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง อุจจาระเป็นก้อน ไม่เหลวหรือแข็งจนเกินไป และไม่ต้องอาศัยแรงเบ่งมากก็สามารถขับถ่ายได้ง่าย

โรคท้องผูก

เช็กพฤติกรรมคนทำงานถ่ายไม่ออก

หากมนุษย์งานคนใดไม่เข้าข่ายท้องผูกตามที่กล่าวมาข้างต้น อย่าเพิ่งเบาใจนะคะ เพราะคุณอาจประสบกับปัญหาเรื่องการขับถ่ายในอนาคตได้ หากมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อไปนี้

  • ไม่กินผัก ผลไม้ และธัญพืชในปริมาณพอเหมาะ ใยอาหารในผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี มีความสำคัญต่อระบบทางเดินอาหารในร่างกาย โดยทำหน้าที่เก็บกวาดเศษอาหารภายในลำไส้ ช่วยให้อุจจาระจับตัวเป็นก้อนและง่ายต่อการขับถ่าย คนทำงานที่ไม่ใส่ใจสุขภาพ กินแต่ข้าวขัดขาว ขนมปังขาวขนมกรุบกรอบ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และอาหารอื่นที่ปราศจากใยอาหาร จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคท้องผูก
  • ดื่มน้ำน้อย น้ำมีบทบาทสำคัญช่วยให้อุจจาระอ่อนตัวและเคลื่อนออกจากลำไส้ได้ง่าย หลายคนจดจ่อกับการทำงานจนลืมดื่มน้ำระหว่างวัน ทั้งต้องนั่งอยู่ในห้องแอร์ซึ่งมีอากาศแห้ง และดื่มกาแฟซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้ขับปัสสาวะ ร่างกายจึงสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายไม่เพียงพอ อุจจาระจึงแข็ง และเคลื่อนตัวช้า ส่งผลให้ขับถ่ายลำบาก
  • เครียด ความเครียดส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติซึ่งอยู่นอกอำนาจจิตใจ โดยจะทำงานควบคุมอวัยวะภายในรวมถึงระบบขับถ่าย ดังนั้นคนทำงานที่ต้องประสบกับภาวะเครียดเป็นประจำจึงมักพบว่าเป็นโรคท้องผูกเรื้อรัง
  • กลั้นอุจจาระบ่อยๆ วิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้ไม่มีเวลาขับถ่าย เช่น ต้องออกจากบ้านแต่เช้ามืดเพื่อไปทำงาน เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายต้องการขับถ่ายกลับไม่สามารถทำได้ เพราะรถติดอยู่บนท้องถนน ครั้นพอถึงที่ทำงาน บางคนไม่อยากเข้าห้องน้ำเพราะเกรงว่าไม่สะอาด สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าไม่ได้ขับถ่ายตลอดทั้งวัน หากการกลั้นอุจจาระเช่นนี้บ่อยครั้ง เส้นประสาทรอบทวารหนักอาจเกิดอาการชินชา เมื่อมีอุจจาระมากระตุ้นก็ไม่ส่งสัญญาณให้เกิดการขับถ่าย ทำให้กลายเป็นโรคท้องผูกเรื้อรังได้
  • กินยาระบายเป็นประจำ ยาระบายกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แต่หากใช้เป็นประจำอาจทำให้ลำไส้ชินต่อการกระตุ้น เมื่อหยุดใช้ยา ลำไส้จะไม่เคลื่อนตัวเพื่อขับถ่ายตามปกติ และจำเป็นต้องใช้ยาทุกครั้งเพื่อกระตุ้นให้ขับถ่าย

โรคท้องผูก

แก้ท้องผูกอย่างได้ผล

1. กินผักผลไม้ขับถ่ายปกติ

ใยอาหารสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างและเพิ่มน้ำหนักอุจจาระ ดังนั้นในหนึ่งวันจึงควรกินใยอาหารให้เพียงพอ อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต แนะนำว่า อาหารชีวจิตสูตร 1 ประกอบด้วย อาหารประเภทข้าวและแป้งไม่ขัดขาว 50 เปอร์เซ็นต์ ผักดิบและผักสุก 25 เปอร์เซ็นต์ ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง และเต้าหู้ 15 เปอร์เซ็นต์ สุดท้ายคืออาหารเบ็ดเตล็ด 10 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ น้ำซุป สาหร่าย งา และผลไม้รสไม่หวาน ซึ่งอาหารเหล่านี้ล้วนมีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบทางเดินอาหาร และระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ

2. สูตรแมงลักแก้ท้องผูก

เมล็ดแมงลักเป็นสมุนไพรไทย ที่มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย ทำให้อุจจาระอ่อนตัว ช่วยระบายท้อง และเพิ่มปริมาณอุจจาระ โดยมีวิธีง่ายๆ คือ ใส่เมล็ดแมงลัก 1 ช้อนชาลงในน้ำสะอาด 1 แก้ว แช่น้ำจนเมล็ดแมงลักพองตัว เติมน้ำตาลเล็กน้อย ดื่มก่อนมื้ออาหารครึ่งชั่วโมงและดื่มน้ำตาม แต่ข้อควรระวังคือ ถ้าใช้เมล็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่อาจทำให้มีอาการขาดน้ำและลำไส้อุดตันได้

3. วารีบำบัด

น้ำช่วยให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายง่าย ลองดื่มน้ำวันละ 4 – 6 แก้ว หรือจะรักษาด้วยธรรมชาติบำบัด โดยดื่มน้ำผสมเกลือและมะนาวอย่างละเล็กน้อย แล้วตามด้วยประคบน้ำแข็งบริเวณสะดือ ดังต่อไปนี้

1. ดื่มน้ำหลังตื่นนอนตอนเช้า โดยเตรียมน้ำดื่มอุณหภูมิปกติ 2 ขวด ขวดละ 800 ซีซี จากนั้นบีบมะนาวลงไปขวดละ 2 ลูก เหยาะเกลือลงไปขวดละ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน แล้วดื่มทันทีให้หมด ทั้งสองขวด

2. ประคบน้ำแข็ง ห่อน้ำแข็ง 2 – 3 ก้อนด้วยผ้าขาวบาง นำมาประคบบริเวณสะดือตอนเช้าหลังตื่นนอน ความเย็นช่วยให้ลำไส้บีบตัว สักครู่จะรู้สึกอยากขับถ่าย

โรคท้องผูก

4. ฝึกสมาธิพิชิตท้องผูก

การฝึกสมาธิ จะช่วยลดความวิตกกังวล รวมถึงร่างกายและจิตใจก็จะผ่อนคลายตามไปด้วย ส่งผลให้ระบบประสาทและอวัยวะในร่างกายทำงานได้มีประสิทธิภาพ

เทคนิคสมาธิเคลื่อนไหวไทยชี่กง โดยมีวิธีฝึกดังนี้

1. ยืนตัวตรง แยกเท้าทั้งสองข้างพอประมาณ แขนทั้งสองข้างแนบลำตัว จากนั้นหลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจเข้าทางจมูก นับ 1 – 5 กลั้นหายใจ นับ 1 – 3 แล้วเป่าลมหายใจออกทางปากช้าๆ นับ 1 – 5 นับเป็นหนึ่งรอบ ทำ 5 รอบ

2. ยกแขนขึ้นโดยให้ข้อศอกทั้งสองข้างอยู่ระดับเอว หันฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากัน แล้วขยับเข้าหากันช้าๆ นับ 1 – 3 และขยับมือออกช้าๆ นับ 1 – 3 ทำทั้งหมด 36 – 40 รอบ แล้วกลับสู่ท่ายืนเริ่มต้น

3. หายใจเข้าลึกๆ นับ 1 – 5 ค่อยๆ ยกมือขึ้นเหนือศีรษะ จินตนาการว่ากำลังประคองหรืออุ้มแจกันใบใหญ่ไว้บนศีรษะ แล้วค่อยๆ ลดมือลงวางข้างลำตัว นับเป็นหนึ่งรอบ ทำทั้งหมด 36 – 40 รอบ แล้วกลับสู่ท่ายืนเริ่มต้น

โรคท้องผูก

5. ฝึกโยคะขับถ่ายคล่อง

การฝึกโยคะท่าพวันมุกตาสนะ สามารถช่วยแก้ท้องผูกเป็นประจำได้ มันจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ บำบัดอาการท้องผูก ช่วยขับลม ทั้งยังช่วยให้ระบบย่อยทำงานดีขึ้น แก้ปวดหลังและปวดเอวได้ด้วย

วิธีฝึกท่าพวันมุกตาสนะแก้ท้องผูก

1. นอนหงายราบกับพื้น กางแขนทั้งสองออกระดับไหล่ คว่ำฝ่ามือ บิดสะโพกไปทางซ้าย ให้เข่าซ้ายเหยียดตรงแนบกับพื้น

2. ยกขาขวา งอเข่า วางหลังเท้าขวาบนข้อพับขาซ้าย

3. ค้างท่านี้ไว้ 1 นาที หายใจเข้าและออกตามปกติ

4. พลิกตัวกลับสู่ท่านอนหงาย แล้วบิดสะโพกไปทางขวา ให้เข่าขวาเหยียดตรงแนบกับพื้น

5. ยกขาซ้าย งอเข่า วางหลังเท้าซ้ายบนข้อพับขาขวา

6. ค้างท่านี้ไว้ 1 นาที หายใจเข้าและออกตามปกติ

7. พลิกตัวกลับสู่ท่าเดิม แล้วทำสลับข้างละ 3 ครั้ง

6. กดจุดหยุดท้องผูก

อาจารย์พิศิษฐ เบญจมงคลวารี ที่ปรึกษาโครงการฟื้นฟูการนวดไทย มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา อดีตประธานกรรมการพัฒนาตำราสาขาเวชกรรมแผนโบราณ กองการประกอบโรคศิลปะ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข แนะนำวิธีกดจุดด้วยตนเองเพื่อกระตุ้นการขับถ่ายดังนี้

1. นอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น จากนั้นวางมือทั้งสองซ้อนกันแล้วกดลงบนสะดือ

2. เขย่ามือทั้งสองขึ้นลงประมาณ 5 นาที จากนั้นวางมือไว้บนสะดือตามเดิม

3. ใช้ฝ่ามือทั้งสองลูบท้องตั้งแต่ใต้สะดือ วนจากขวาไปทางซ้าย 10 – 20 รอบ ปฏิบัติทุกวันช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น

ลองเลือกสักวิธีหนึ่งที่เข้ากับตัวเอง แล้วเอามาปรับใช้ดูนะคะ เชื่อว่าระบบขับถ่ายของคุณ จะต้องกลับมาทำงานเป็นปกติอย่างแน่นอนค่ะ

ที่มา : www.thaihealth.or.th

guest

Post : 2013-10-02 08:42:19.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ดีท็อกซ์ลําไส้ คืออะไร??

การดีท๊อกซ์ลำไส้ เป็นการทำความสะอาดลำไส้ และกำจัดสิ่งสกปรก อย่างเช่น ของเสีย กากอาหาร และสารพิษที่ค้างอยู่ในลำไส้ ให้ออกมาจากร่างกาย เพราะการขับถ่ายธรรมดานั้นไม่สามารถขับสิ่งเหล่านี้ออกมาได้หมด ยิ่งรับประทานมามากก็ยิ่งมีโอกาสติดคางอยู่ในลำไส้ได้มากขึ้น อาหารจำพวกเนื้อจะจับตัวกัน เกาะติดที่ผนังลำไส้ ทำให้ร่างกายขับถ่ายได้ลำบาก เกิดอาการท้องผูก เมื่อสิ่งตกค้างเหล่านี้บูดเน่าจะกลายเป็นสารพิษ ทำให้เกิดโรคต่างๆ อย่างเช่น ท้องผูก ท้องอืด ผายลมบ่อย อาหารไม่ย่อย ลำไส้อักเสบ ลมหายใจมีกลิ่น ลมพิษ ภูมิแพ้ หอบหืด

การดีท๊อกซ์ลำไส้ จะเป็นการช่วยทำความสะอาดลำไส้ ลดการเกิดโรคต่าง ๆ  ทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงมากขึ้น เพราะการดีท็อกซ์ลําไส้ ส่งผลต่ออวัยวะอื่น ๆ อย่างเช่น ตับ ถุงน้ำดี ต่อมน้ำเหลือง ให้ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อลำไส้มีความแข็งแรง และทำงานได้อย่างเป็นปกติ

guest

Post : 2013-03-04 07:08:37.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  วิธีการพอกหน้าด้วยโยเกิร์ต

 วันนี้ขอแนะนำสูตรพอกหน้าด้วยโยเกิร์ตเป็นวิธีดี ๆ ทำได้ด้วยต้นเองมาแนะนำคุณสาว ๆ กันค่ะ ปัญหาผิวกับสาว ๆ มักจะเป็นของคู่กันแยกกันไม่ออกซะแล้ว ปัญหาผิวแพ้ง่ายก็เป็นข้อหนึ่งที่ปัจจุบันมีสาว ๆ เป็นกันมาก ไม่ว่าจะใช้อะไรหรือโดนอะไรเข้าก็แพ้ไปหมด ทำให้ใบหน้าแห้งกร้าน เกิดใบหน้าหมองคล้ำ แล้วเราจะแก้ปัญหาและฟื้นฟูผิวแพ้ง่ายได้อย่างไรละ วันนี้เลยมาแนะนำสูตรพอกหน้าด้วยโยเกิร์ต ทำได้ด้วยต้นเองมาแนะนำคุณสาว ๆกัน

โยเกิร์ต

สูตรพอกหน้าฟิ้นฟูผิวแพ้ง่าย...ด้วยโยเกิร์ต

ส่วนผสมการพอกหน้าด้วยโยเกิร์ต

โยเกิร์ต 1 ถ้วย

น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำแอปเปิ้ล 2 ช้อนโต๊ะ

 

สูตรพอกหน้าด้วยโยเกิร์ต

วิธีการพอกหน้าด้วยโยเกิร์ต

นำโยเกิร์ตผสมสมกับน้ำผึ้งและน้ำแอปเปิ้ลลงในถ้วยแล้วค้นให้เข้ากันน้ำไปแช่เย็นประมานครึ่งชั่วโมง จากนั้นล้างหน้า ล้างเครื่องสำอางให้สอาด นำโยเกิร์ตที่เตรียมไว้มาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาน 20 -30 นาที ให้ส่วนผสมแห้ง ระหว่างรอให้แห้งห้ามขยับใบหน้าเป็นอันขาด ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ตามด้วยน้ำเย็นกระชับรูขุมขนกันอีกครั้ง เมื่อล้างออกแล้ว จะรู้สึกได้ถึงความเนียนนุ่มของผิวหน้าที่กลับมาอีกครั้ง ทำแบบนี้ด้วยสูตรพอกหน้าด้วยโยเกิร์ตเป็นประจำ อาทิย์ละ 2 ครั้ง สภาพผิวที่แพ้ หมองคล้ำจะกลับมาเนียนนุ่มขาวในดังเดิมแน่นอน

guest

Post : 2013-03-04 07:05:05.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  5 ผลไม้สำหรับคน อยากผอม

 5 ผลไม้สำหรับคน อยากผอม

แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลขึ้นชื่อว่าเป็นราชาผลไม้ลดน้ำหนักในแอปเปิ้ล 1 ลูกมีไฟเบอร์อยู่ 3 กรัม เมื่อทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนาน และยังช่วยทำให้ผิวสวยเปล่งปลั่งแถมยังมีวิตามิน แร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย ช่วยลดคอเลสเตอรอลและช่วยล้างสารพิษต่างๆ อีกด้วยค่ะ

กล้วย

ใน”กล้วย”มี วิตามินบี1 และบี 2 ที่ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญน้ำตาลและไขมันและมีไฟเบอร์ ช่วยรักษาอาการท้องผูกได้ดี แถมมีคาร์โบไฮเดรต ยังมีน้ำตาลทั้งกลูโคส, ฟลุกโตส และซูโคส ที่ช่วยเพิ่มพลังกายและสมองช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น เราเพียงรับประทานกล้วยในช่วงลดน้ำหนักเพียงวันละ 1 ลูก และกล้วยก็เป็นผลไม้ที่หาได้ง่ายราคาไม่แพงและรสชาติเยี่ยมอีกด้วย

มะละกอ
มะละกอเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยเป็นผลไม้ที่เราคุ้นเคยกันดี มะละกอเป็นผลไม้ที่ช่วยกำจัดไขมันต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ดี ช่วยย่อยโปรตีนและย่อยอาหาร การทานมะละกอเป็นประจำก็ถือเป็นการช่วยลดน้ำหนักและความอ้วนไปในตัว

แตงโม

แตงโมเป็นผลไม้ลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี อันเนื่องมาจากแตงโมนั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 93% ของส่วนประกอบทั้งหมดช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วเพราะแตงโมจะเข้าไปจับจองพื้นที่ในกระเพาะอาหารจนเต็ม แต่จะไม่ทำให้เราอ้วนเนื่องจากแตงโมมีส่วนประกอบที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตหรือไขมัน แต่ควรทานอย่างพอดีไม่มากจนเกินไปค่ะ เพราะอาจจะทำให้ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยก็ได้

ฝรั่ง

ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีความกรอบเคี้ยวเพลิน ช่วยให้คุณลดความอ้วนได้ไม่ยาก เพราะฝรั่งเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำในฝรั่ง 1 ผลนั้นให้พลังงานเพียง 25 แคลอรี ฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี และวิตามินเอ กรดนิโคตินิก ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม เหล็ก เพคติน โฟเลต มีคุณค่าในการสร้างความต้านทานโรคหวัดและแก้อาการท้องผูกได้ค่ะ หากคุณกำลังมองหาผลไม้ลดความอ้วนอยู่ล่ะก็ ฝรั่งย่อมเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณแน่นอน

guest

Post : 2013-01-15 14:17:41.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ประโยชน์ของการ ดีท็อกซ์ 5 ข้อ

 ประโยชน์ของการ ดีท็อกซ์ 5 ข้อ

1. ช่วยทำความสะอาดลำไส้ อุจจาระ แบคทีเรียที่เป็นโทษต่อร่างกาย และสารพิษต่างๆจะถูกชะล้างออกไป ลดการสะสมสารพิษเหล่านี้ เมื่อสารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกไป ลำไส้ของเราจะสามารถทำงานได้ตามปกติ

2. เป็นการบริหารกล้ามเนื้อลำไส้ ของเสียที่ตกค้างมีผลทำให้ลำไส้อ่อนแอลง และทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ การล้างลำไส้จึงเป็นการช่วยกล้ามเนื้อลำไส้ให้ทำงานได้มากขึ้น โดยปกติลำไส้มีหน้าที่กำจัดของเสีย ก็อาจจะทำได้ไม่สมบูรณ์นัก แต่ถ้ากล้ามเนื้อลำไส้แข็งแรงและทำงานได้อย่างเป็นจังหวะจะสามารถช่วยทำให้การผลักดันของเสียเช่น กากอาหารและ อุจจาระออกจากลำไส้ได้เร็วขึ้น และไม่เกิดสารตกค้างจนกลายเป็นพิษ

3. ทำให้ลำไส้มีขนาดเป็นปกติ เมื่อลำไส้ทำงานอย่างผิดปกติ จะส่งผลให้โครงสร้างและขนาดลำไส้เปลี่ยนไปก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา การสวนล้างลำไส้ ช่วยให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนตัว ช่วยลด อาการบวมหรือโป่งพองของลำไส้ อันเนื่องมาจากการที่มีของเสียอุดตัน บริเวณนั้น ทำให้ลำไส้มีรูปร่างปกติตามธรรมชาติ ซึ่งการรักษาทางยา ทานอาหารบางอย่างเฉพาะ บางรายท้องเดินระยะหนึ่งแล้วจะมีอาการท้องผูก อุจจาระแข็ง หรือการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ อาจทำให้ลำไส้กลับคืนสู่รูปทรงปกติได้เพียง ระยะสั้นเท่านั้น

4. กระตุ้นจุดตอบสนองของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย อวัยวะทุก ส่วนจะมีการทำงานเชื่อมต่อกับลำไส้โดยจุดตอบสนอง การล้างลำไส้เป็นการช่วยกระตุ้นจุดที่ว่านี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกายโดยรวม เช่น ตับ ถุงน้ำดีตับอ่อน ไต ต่อมน้ำเหลืองและการหมุนเวียน ของเลือด เป็นต้น

5. ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำ 60-70% การสวนล้างลำไส้ด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือแร่ ร่างกายโดยรวมจะสามารถดูดซึมน้ำเหล่านั้นไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ เพื่อให้เซลล์เหล่านั้น ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับละลาย และเจือจางเมือกและตะกรันที่สะสมอยู่ในผนังลำไส้ให้ขับออกได้สะดวกขึ้น

guest

Post : 2013-01-15 14:15:36.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ป้องกันการอาการท้องผูก.. ด้วยวิธีธรรมชาติ

 ป้องกันการอาการท้องผูก..
ด้วยวิธีธรรมชาติ ดังนี้

1. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

2. รับประทานอาการที่มีกากใยพอสมควรได้แก่ผักผลไม้เช่น กล้วย ส้ม สัปปะรด เป็นต้น
จะทำให้อุจจาระเป็นก้อนแต่นิ่ม ช่วยในการขยายตัวและนวดทวารหนักได้เป็นอย่างดี
และไม่ทำให้เกิดการครูดทวารหนักจนเกิดบาดแผล 

3. ฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา ไม่เบ่งมากขณะขับถ่าย เนื่องจากการเบ่งมากจะทำให้เลือด
คั่งบริเวณบริเวณทวารหนัก ทำให้เนื้อเยื่อปากทวารหนักบวมและยื่นออกมาได้ 

4. ออกกำลังกายอยู่เสมอ 

5. นอนหลับผักผ่อนให้เพียงพอ

6. หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคืองทางเดินอาหารเช่น อาหารรสจัด ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์

guest

Post : 2013-01-15 14:14:09.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ท้องผูก..อย่าคิดว่าไม่สำคัญ..

 ท้องผูก..อย่าคิดว่าไม่สำคัญ..

คนปกติจะถ่ายอุจจาระ 3 ครั้งต่อวัน ถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ผู้ที่ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ประกอบกับการถ่ายลำบาก ต้องใช้เวลาเบ่งนานกว่าปกติ อุจจาระแข็ง หรือมีอาการเจ็บทวารหนักเวลาถ่าย ถือว่ามีอาการท้องผูก หากท้องผูกนานติดต่อกันเกิน 3 เดือน จัดว่าท้องผูกเรื้อรัง

วิธีดูแลตนเองเมื่อมีอาการท้องผูก
1.กินอาหารที่มีกากใยมากๆ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช

2.ดื่มน้ำมากๆ ไม่ควรดื่มกาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้อุจจาระแห้ง

3.การออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น

4.ฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน ลำไส้ใหญ่จะมีการเคลื่อนไหวทำให้เกิดความรู้สึกอยากถ่ายวันละ 1-2 ครั้ง มักเกิดขึ้นหลังตื่นนอนและหลังอาหาร หากกลั้นอุจจาระไว้ในช่วงนั้น โอกาสที่จะรู้สึกอยากถ่ายในวันนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นอีก จึงควรถ่ายให้เป็นเวลา โดยเฉพาะหลังตื่นนอน

5.ไม่ควรทำอย่างอื่นขณะขับถ่าย เช่น อ่านหนังสือ กรณีที่เป็นส้วมชักโครก ควรนั่งโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อให้มีแรงเบ่งมากขึ้น

6.หากจำเป็นต้องใช้ยาระบายควรปรึกษาแพทย์ และเริ่มใช้ยาระบายที่ช่วยให้เกิดการขับถ่ายอย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัยก่อน โดยเฉพาะยาที่ช่วยในการดูดน้ำเข้ามาในอุจจาระหรือลำไส้ หรือสารที่เพิ่มปริมาณกากอาหาร

guest

Post : 2013-01-02 08:22:47.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  สุขภาพดี 3 ประการ

 ผลวิจัยใหม่เผย เส้นทางสู่การมีสุขภาพดี 3 ประการ

การดูแลรูปร่างภายนอกอาจจะไมได้ทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีได้ เพราะคุณควรจะดูแล และเอาใจใส่ระบบภายในร่ายกายด้วยเช่นกัน ซึ่งวิธีการดูแลนั้นก็ไม่ยากเลยเพียงแค่คุณปรับเปลี่ยนนิสัยการทานอาหารในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง และในวันนี้เราก็มีผลการวิจัยที่มีประโยชน์จากเว็บไซต์ men's health มาฝากกัน รับรองว่าจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

1. กำจัดส่วนเกินด้วยน้ำแอปเปิล 

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันพบว่าการดื่มน้ำแอปเปิลวันละแก้วสามารถช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ ข้อมูลนี้ได้มาจากการผลการศึกษาของแผนกสรีระวิทยาและชีวเคมีโภชนาการ ในเมืองคาร์ลสรูห์ ประเทศเยอรมนี ซึ่งพวกเขาแนะนำมาว่าผู้ชายที่ต้องการลดปริมาณไขมันในร่างกายควรดื่มน้ำแอปเปิลวันละ 750 มิลลิลิตร เพราะในน้ำแอปเปิลอุดมไปด้วยสาร "โพลีฟีนอล" ซึ่งสารนี้จะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญในร่างกาย อีกทั้งยังลดการสะสมไขมันในเส้นเลือดอีกด้วย

2. คงความหนุ่มด้วยการทานปลา 

หลายคนกลัวว่าอายุจะพรากสิ่งต่าง ๆ ไป เลยหันหน้าไปทานอาหารเสริม หรือใช้ครีมบำรุงต่าง ๆ เพื่อชะลอริ้วรอยแทน ซึ่งในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลยสักนิด เพียงแค่คุณใส่ใจกับการทานอาหารให้มากขึ้น โดยเฉพาะการทานปลาต่าง ๆ เพราะมีทีมนักวิจัยเวชศาสตร์พฤติกรรม จากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตทพบว่า กรดไขมันจำเป็นอย่างเช่น โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 สามารถช่วยป้องกันโครงสร้างในดีเอ็นเอ ลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็ง และยังช่วยชะลอริ้วรอยได้อีกด้วย และนอกจากนี้ผลการวิจัยยังระบุอีกว่าหลังจากที่ร่างกายได้รับสารโอเมก้า 3 ติดต่อกัน 4 เดือน ทำให้ร่างกายสามารถสร้างเซลล์ใหม่ได้ดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะในปลาแซลมอน ปลาทูน่า และถั่วชนิดต่าง ๆ 

3. สร้างรอยยิ้มด้วยน้ำมันมะพร้าว 

สถาบันวิจัยเทคโนโลยีแอธโลน ในประเทศไอร์แลนด์ ระบุว่าการทานน้ำมันมะพร้าวสามารถทำให้คุณยิ้มได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เพราะเอนไซม์ในน้ำมันมะพร้าว สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ชื่อว่า สเตร็ปโตค็อกคัส มิวแทนส์ (streptococcus mutans) อันเป็นสาเหตุหลักของอาการฟันผุได้ ดังนั้นการทานน้ำมันมะพร้าวจึงทำให้ฟันของคุณขาวสะอาด และแข็งแรงมีรอยยิ้มที่สดใสไม่แพ้ใครเลย นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารอีกด้วย 

จากผลวิจัยนี้ทำให้เราได้ทราบว่านอกจากการออกกำลังกายแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้น หากคุณสามารถทำทั้งสองสิ่งนี้ควบคู่กันไปอย่างเหมาะสม รับรองว่าคุณจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์แน่นอน และในเมื่อทราบเคล็ดลับดี ๆ เหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมไปแนะนำให้คนอื่น ๆ ทราบด้วยนะครับ

CR:กระปุกดอทคอม

guest

Post : 2013-01-02 08:20:35.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ประโยชน์ของใยอาหาร

 ประโยชน์ของใยอาหาร
1 ช่วยลดสิ่งสกปรกในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ 
2 ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด 
3 ช่วยปรับสมดุลปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด 
4 ช่วยลดปัญหาท้องผูก 
5 ช่วยให้ระบบย่อยอาหารเป็นปกติ 
6 ช่วยลดปริมาณสารพิษในร่างกาย 
7 มีสารต้านอนุมูลอิสระ 
8 ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ 
9 แก้ปัญหา “ริดสีดวงทวารหนัก” 

โรคท้องผูก เป็นต้นเหตุของอาการต่อไปนี้
1. ปวดหัวบ่อย หงุดหงิดประจำ สมองมึนงงคิดอะไรไม่ออก นอนหลับยาก
2. ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดต้นคอ คอแข็งหันไม่สะดวกหูอื้อ
3. อ่อนเพลียง่าย ป่วยบ่อย รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนจะเป็นไข้ มือเท้าเย็น
4. ท้องอืดเป็นประจำ ท้องเสียง่าย ปวดท้องบ่อย แน่นท้อง มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้
5. ผิวพรรณไม่สดใส หมองคล้ำ ผิวหยาบกร้าน เป็นสิว ฝ้า
6. มักเกิดแผลร้อนใน มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว ผายลมบ่อย
7. ไส้ติ่งอักเสบ โรคอ้วน (พุงโต) หรือผอมเกินไป ท้องผูก ริดสีดวงทวารป็น

8. เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ปัสสาวะไม่ใส ไตมีปัญหา

guest

Post : 2012-08-09 11:46:45.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  10 อันดับผลไม้กินแล้วไม่อ้วน

 ผลไม้ 10 ชนิดต่อไปนี้ จัดเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ และ กินได้บ่อยๆ แบบไม่ต้องกลัวอ้วน ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเพิ่มภูมิคุ้มกันอีกด้วย ผลไม้ทั้ง 10 ชนิดนี้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ย 1.9 – 10 กรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม โดยอะโวกาโดมีคาร์โบไฮเดรตต่ำสุด แอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตสูงสุด

ผลไม้

  1. กีวี - มีสารแอกทินิดีน ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทำให้หัวใจแข็งแรง
  2. มะเขือเทศ - ช่วยลดความเสียงจากมะเร็งและโรคหัวใจ
  3. มะละกอ – ช่วยย่อยอาหารและโปรตีน
  4. อะโวกาโด –  ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ถึง 30 ชนิด
  5. สับปะรด – ช่วยต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
  6. ผลไม้จำพวกเบอร์รี่ – เช่น สตอเบอร์รี่ แบลคเบอร์รี่ ผลไม้กลุ่มนี้ดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต
  7. แครนเบอร์รี่ – ช่วยป้องกันนิ่วในไต ต้านเชื้อไวรัส
  8. ผลไม้ตระกูลส้ม – ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือด
  9. ผลไม้กลุ่มแตง – มีสรรพคุณสูงสุดในการล้างพิษให้กับร่างกาย
  10. แอปเปิ้ล – ช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร

guest

Post : 2012-07-02 12:44:17.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  สุขภาพดีเริ่มต้นที่ลำไส้ใหญ่

 

คราวนี้มีวิธีการดูแลลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจเป็นบ่อเกิดของโรคภัยต่างๆ ที่เกิดจากการดูดซับเอาของเสียกลับมาเลี้ยงร่างกาย ดังนั้น เพื่อให้เราให้มีสุขภาพดี จึงควรใส่ใจในเรื่องต่างๆ ดังนี้

 

 


  • เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน หัดให้เป็นนิสัยที่จะค่อยๆ เคี้ยว ค่อยๆ กลืน แล้วก็อย่าพูดมากเวลากินอาหาร 
  • เลือกอาหารที่กิน รู้ว่าอะไรไม่ดีหรือย่อยยาก ไขมันเยอะ ของทอด ของเสียก็หลีกเลี่ยง และหัดกินของที่มีเส้นใยมากขึ้น 
  • ดูแลเรื่องขับถ่ายในชีวิตประจำวันให้สม่ำเสมอ สังเกตว่าการขับถ่ายของเราเป็นอย่างไร เรื่องขับถ่ายนี่เป็นเรื่องที่ปล่อยปละละเลยไม่ได้ทีเดียว หัดสังเกตว่าเรากินอะไรท้องจะผูก ไปกินเลี้ยงคราวหน้าก็อย่าเอาขยะใส่เพิ่มพูนเข้าไปอีกล่ะ 
  • เพื่อให้ระบบของลำไส้ดีขึ้นก็ต้องหมั่นออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นให้ลำไส้ได้เคลื่อนไหว มีประสิทธิภาพ เราจะเห็นว่าคนสมัยใหม่นี้ท้องผูกกันมากขึ้น เพราะกินแต่แป้งขัดขาวกับ น้ำตาลและไขมัน หรือแม้แต่นั่งกินนอนกินก็เห็นจะจบลงด้วยโรคภัยได้เช่นกัน

 

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราก็ควรทำลำไส้ของเราให้สะอาด อย่าให้มีของเน่าตกค้างอยู่ และที่สำคัญพยายามกำจัดมันทิ้งไปอย่าเก็บไว้กับตัวเป็นเวลานาน จะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

 

ที่มา : สถาบันโรคตับและทางเดินอาหาร โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท

 

guest

Post : 2012-07-02 12:41:31.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ทำอย่างไรช่วยไม่ให้ท้องผูก

  1.ดื่มน้ำให้ได้วันละประมาณ 1-2 ลิตร ถ้าไม่มีโรคหัวใจ โรคของเส้นเลือด โรคไตอยู่ บางคนอาจท้องผูกจากการดื่มนมหรือรับประทานแคลเซียมในปริมาณมาก

           2.เข้าห้องน้ำทันทีเมื่อรู้สึกปวดถ่าย ไม่ควรรอหรือทนอั้นไว้เพราะยิ่งรอไว้นาน ยิ่งเพิ่มอาการท้องผูก และควรฝึกขับถ่ายเป็นเวลา

           3.ออกกำลังกายน้อย หรือใช้เวลานอนบนเตียงนาน ๆ เช่น คนป่วยนอนโรงพยาบาลนาน ๆ ทำให้ท้องผูก จึงควรขยับเขยื้อนร่างกาย ออกกำลังกายเสมอ ๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดถ้ามีอาการปวดข้อ อาจลองทำกายบริหารในสระว่ายน้ำ

           4.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีใยน้อย เช่น ไอศกรีม ชีส หรือเนยแข็ง เนื้อวัว ควรหลีกเลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ

           5.ทานอาหารที่มีใยอาหาร 20-30 กรัมต่อวัน เพราะใยอาหารจะทำให้เนื้ออุจจาระอุ้มน้ำมากขึ้น แล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมารของใยอาหารในทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวจะได้ไม่เกิดอาการท้องอืดแน่น

           6.หลีกเลี่ยงการใช้ยาระบาย หรือการสวนทวารนาน ๆ เพราะไม่ใช่วิธีการรักษาให้หายขาด การใช้ยาระบายนาน ๆ ทำให้ร่างกายลืมหน้าที่ตนเอง

guest

Post : 2012-06-08 11:45:53.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ทำไมต้องดีท็อกซ์

  การล้างลำไส้ จะช่วยทำความสะอาดและขจัดสิ่งสกปรก ของเสีย กากอาหาร รวมทั้งสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ให้หมดไป เนื่องจากของเสียเหล่านี้มักถูกขับถ่ายออกได้ไม่หมด จึงตกค้างอยู่ในลำไส้ บางครั้งจะเกาะติดอยู่ตามผนังของลำไส้เป็นตะกรัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลร้ายต่อร่างกายจนทำให้เกิดอาการต่างๆของโรคเช่น ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ ผายลมบ่อยๆ ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ ปวดศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียน เวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล เป็นฝีบ่อยๆ มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อ ตามกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์ ริดสีดวงทวาร มะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับ เป็นต้น ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคหรือมีอาการดังกล่าวนี้ จึงควรได้รับการล้างลำไส้ เพื่อขจัดของเสียและสารพิษที่คั่งค้างออกจากร่างกาย ทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงของโรคด้วย

guest

Post : 2012-06-02 07:13:54.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  อย่างไรถึงเรียกว่า ท้องผูก

  หลายต่อหลายคนเชื่อว่า การที่ไม่ได้ขับถ่ายอุจจาระทุกวัน เรียกว่า ท้องผูก แต่ในทางการแพทย์ หนังสือสุขภาพดีหมอจุฬาฯ เผยว่า แพทย์จะใช้เกณฑ์ของ Rome III Criteria วินิจฉัยว่าท้องผูกหรือไม่
โดยหลักวินิจฉัยประกอบด้วย ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์, ต้องเบ่งมากกว่าปกติ, อุจจาระเป็นก้อนแข็ง รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่สุด, รู้สึกถ่ายไม่ออกเนื่องจากมีสิ่งอุดกั้นบริเวณทวารหนัก, และต้องใช้นิ้วมือช่วยในการถ่ายอุจจาระ

หากมีอาการเข้าเกณฑ์ทุกข้อ หรือมี 2 ข้อขึ้นไป โดยเป็นมานานกว่า 3 เดือน หรือกรณีที่เริ่มมีอาการครั้งแรก แต่นานกว่า 6 เดือน ถือว่าเข้าข่ายท้องผูกแล้ว

สำหรับการแก้ไขปัญหาท้องผูกในเบื้องต้น สามารถทำได้ด้วยตนเอง เช่น ถ้ารู้สึกอยากถ่ายท้องอย่ากลั้น อย่าเบ่งอุจจาระรุนแรง ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ ส่งผลให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวไปด้วย เลือกรับประทานอาหารที่ช่วยให้ขับถ่ายง่าย อย่าง ดื่มน้ำสะอาดไม่ต่ำกว่า 10-12 แก้วต่อวัน รับประทานผัก-ผลไม้เพื่อเพิ่มกากใย อาทิ กล้วยน้ำว้า มะละกอสุก สับปะรด ลูกพรุน ธัญพืช เมล็ดแฟลกซ์ โยเกิร์ต หรืออาจหาไฟเบอร์แบบผงชงกับน้ำก็ช่วยเพิ่มกากใยได้อีกทางหนึ่ง

ทว่า ลองเยียวยาอาการด้วยตนเองแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เริ่มมีริดสีดวงทวารหนัก มีอาการซีดจากการขาดธาตุเหล็ก น้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 50 ปี คนในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และท้องผูกจนลำไส้อุดตัน โดยอึดอัดแน่นท้อง ปวดท้องมาก คลื่นไส้อาเจียน

ซึ่งประโยชน์ของการพบแพทย์นั้นอาจช่วยให้ทราบปัญหาที่แท้จริงว่า ท้องผูกเพราะลักษณะนิสัย เช่น เคลื่อนไหวน้อย รับประทานอาหารที่กากใยน้อย มีนิสัยขับถ่ายไม่ได้ หรือเกิดจากปัญหาที่ซับซ้อนกันแน่

ขอบคุณที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

1